ตามที่ขอมานะครับ ขอโทษที่ต้องให้รอนานเชียว เห็นผมเงียบๆ อย่างนี้ งานผมยุ่งมากครับ ;-) มีงานสอน ต้องเตรียมสอน ตรวจการบ้าน และอื่นๆ อีกเยอะครับ นี่ยังไม่รวมแต่งหน้าทำผมนะครับ ...?!!. นั่นก็เป็นอีกเรืองนึง .. ผมหวังว่ายังคงอยากอ่านอยู่นะครับ ยังไงลองอ่านดู หวังว่าจะเป็นคุ้มค่าการอคอยครับ
ผมแปลความหมายนัยยะที่ซ่อนไว้ในความหมายเพลง Everything You Want นี้นะครับ ต้องเรียนให้ทราบว่าความรู้ที่ผมนำมาแปลเป็นประสบการณ์ที่ผมเข้าใจและเรียนรู้มา ผมมั่นใจว่าเข้าใจตรงกันกับผู้แต่งเพลงครับ คิดเห็นอย่างไรก็เล่าให้ฟังกันนะครับ
With love,
Than Bristol House xx
Visit www.facebook.com/ThanEnglishClub/
www.bristolhouse.net
Call 085-164-6105
Bristol House Miracle of Knowledge
"Everything You Want" - Vertical Horizon
https://youtu.be/1MjQXcExJ48
Somewhere there's speaking
มีการพูดอยู่ที่ใดสักแห่ง
(ผู้แต่งเพลงน่าจะพยายามสื่อถึงความรู้ต่างๆ ที่เคยสอนเคยถูกกล่าวถึงบนโลกนี้ หมายถึงปรัญชาและปัญญาของบรรพบุรุษเก่าที่ให้คนปัจจุบันมีความรู้ กล่าวง่ายๆ เหมือนว่า "จากที่คนเก่าก่อนเขาสอนไว้")
It's already coming in
มันกำลังเข้ามาละ
(บรบทนี้สื่อให้คาดเดาได้ว่า ชีวิตของเราโตเติบขึ้น ก็เริ่มมีประสบการณ์ต่างๆ เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือการเจริญเติบโตและเรียนรู้ของคนเราที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่มากก็น้อย)
Oh and it's rising at the back of your mind
โอ้ และมันก็เกิดออกมาจากความทรงจำของเรานี่เอง
(สำนวน the back of one's mind ภาษาอังกฤษเราหมายถึง "ความทรงจำระยะยาว" หรือบางทีอาจอ้างถึง "จิตใตัสำนึกที่จำเรื่องราวทุกอย่างได้ตลอดชีวิต" ครับ ประโยคเนื้อเพลงนี้จึงมีนัยยะว่า "อาจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ หรือการอยู่ในสภาะสงบเงียบแล้วจึงทำให้ได้ยินเสียงจากจิตใต้สำนึกตัวเองครับ เพื่อให้แก้ไขปัญหา หรือเดินหน้าต่อไปนั้นควรทำอย่างไร")
You never could get it
เราจะไม่ได้เข้าใจมันมาก่อน
Unless you were fed it
ยกเว้นเสียแต่ว่าเราถูกป้อนมาก่อน
(นัยยะของ 2 ประโยคเนื้อเพลงนี้ หมายถึงการเปลี่ย่นแปลงเรียนรู้ใหม่ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยครับ หากว่าไม่มีเรื่องขึ้นมา คล้ายๆ กับสำนวนภาษาอังกฤษที่ No pain, no gain อะครับ คือ "ถ้าไม่เจ็บปวดซะบ้าง ก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่เลย" หรือประมาณว่า "นั่งเฉยๆ ถ้างานไม่เข้า ก็จะจะเอื่อยเฉื่ยไม่ทำอะไร" อะครับ แต่เนื้อหาเพลงเป็นเรื่องของชีวิตโดยรวมนะครับ ความหมายซ้อนเร้นนี้เข้าใจได้ว่า "คนเราส่วนใหญ่อาจนั่งๆ นอนๆ รอให้เหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาสู่ชีวิตเรา เพื่อที่เราจะได้เติบโต จะได้เรียนรู้ครับ เพราะไม่ได้พยายามออกไปหาโอกาสเหล่านั้นก่อน" ครับ)
Now you're here and you don't know why
ตอนนี้เราอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร
(นัยยะประโยคนี้หมายถึง "พอถึงจุดเปลี่ยนช่วงวัยของชีวิต บางคนก็ตั้งคำถามตัวเองว่า "ฉันเกิดมาเพื่ออะไร" อะครับ)
But under skinned knees and the skid marks
แต่รอยแผลที่หัวเข่า ที่หกล้มลื่นมาบ้าง
(ประโยคที่แปลไว้ก่อนแล้วข้างบน จริงๆได้พยายามสื่อถึงนัยยะไว้สั้นๆ นะครับ ถ้าจะอธิบายยาวหน่อย มันมีนัยยะว่า "คนเรามีหัวเข่าบางๆ ที่ก็ต้องผ่านการหกล้มกันมาทุกคน ก็คือต้องเจ็บตัวกันมาก่อนทุกคน พอเจ็บตัวแล้วก็จะสร้างหน้ากากของตัวเองขึ้นมาครับ หน้ากากนั่นคือความมีอีโก้ของตัวเองที่ดูเงางาม สวมใส่ไว้เพื่อไม่ให้ใครเขารู้ได้ว่าเราเคยเจ็บตัวเสียใจอะไรมาครับ หน้ากากเพื่อป้องกันความผิด ความอับอาย")
Past the places where you used to learn
ผ่านมาจากสถานที่ต่างๆ ที่เราเคยเรียนรู้จากมัน
(ประโยคนี้คงไม่ยากอะไร คงสื่อถึงการได้กลับมาเห็นสถานที่เก่าๆ ในอดีต หรือหมายถึงช่วงเวลาวัยเด็กๆที่กำลังเรียนรู้)
You howl and listen
เธอร้องครวญครางและก็แล้วก็ฟัง (Howl = เห่าหอน)
Listen and wait for the
ฟังและรอกับ
Echoes of angels who won't return
เสียงสะท้อนของเทวดาผู้ซึ่งไม่หวนกลับมาอีกแล้ว
(ทั้ง 3 ท่อนเพลงนี้ สามารถมองได้ว่าเป็นการใช้อุปมาอุปมัยอธิบายเรือ่ง นั่นคือ "การเห่าหอน และคอยฟัง" หมายถึงการใช้สัญชาติญานเดิมที่เคยเรียนรู้มาก่อน ราวกับสุนัขที่ต้องใช้การเห่าหอนเพื่อเรียกฉันท์ใด คนเราที่เป็นเด็กก็มักจะคอยสอบถามผู้เป็นผู้ใหญ่กว่าถึงคำตอบฉัณท์นั้น หรือถ้าเป็นเด็กอ่อนก็จะร้องไห้เพือแสดงความต้องการบางอย่างครับ คือพูดง่ายๆ ก็คือ "พฤติกรรมเรียนรู้และเลียนแบบ" ครับ แต่ในบริบทเพลงได้กล่าวต่อว่า "Echoes of angles who wont' return เสียงสะท้อนของเทวดาที่ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว" นี่หมายถึงพอคนเราโตขึ้น โตขึ้น สถานการณ์ก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ต่อไปก็ไม่มีใครเขาจะคอยมาสอนเราได้ตลอดครับ หรือเมื่อเราถึงจุดๆ หนึ่งที่เราถามอะไรคนอื่น แต่เขาเองก็ไม่มีคำตอบครับ ถ้ามองลึกๆ เข้าไป ก็คือจุดที่เราต้องเป็นผู้ปกครองตัวเองครับ)
[Chorus]
He's everything you want
เขาคือทุกสิ่งที่เธอต้องการ
He's everything you need
เขาคือทุกสิ่งที่เธอจำเป็นต้องมี
(บรบทท่อนนี้ กล่าวคือเมื่อพระเอกในเรื่องนี้ต้องการคำตอบของชีวิต กำลังค้นหาตัวเอง ถามอะไรใครไปก็ไม่มีคำตอบที่ดีดั่งใจได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็มองเห็นผู้คนอื่น เป็นขั้นตอนการศึกษาผู้อื่น แล้วมองเห็นข้อดีในตัวผู้อื่น เห็นว่าผู้อื่นเป็นตัวอย่างที่ดี อยากจะได้ อยากจะเป็นอย่างผู้อื่น)
He's everything inside of you
เขาคือทุกสิ่งในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอหวังอยากจะเป็น
(ตรงนี้ ก็หมายถึง พอเขามองเห็นแบบอย่างภายนอกของผู้อื่นว่าดูดีแล้ว พระเอกก็รู้สึกว่าอยากจะเป็นอย่างคนอื่น และในท่อน "He's everything inside of you.." นั่นหมายถึง เขาเริ่มรู้อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พอคิดไปก็เหมือนรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวของตัวฉัน คือเกิดความรู้สึกไม่เชื่อมั่นว่าตัวเองจะเปลียนแปลงเป็นผู้นอืนได้ ครับ ตอนนี้ก็ใจอยากเปลี่ยน แต่ทำไม่ได้ อะครับ)
He says all the right things
เขาพูดเรื่องต่างๆได้ถูกต้องดีเยี่ยม
(บรบทตรงนี้ เริ่มเป็นการระลึกรู้ได้ว่า พอเราได้ถามใจเราจริงๆ ว่าต้องการอะไร ตัวเราก็จะบอกส่ิงที่เหมาะสมกับเราที่สุดครับ คือดีกว่าไปถามผู้อื่น เพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าไม่มีคนอื่นใดจะมารู้ มาเข้าใจความต้องการของตนเองได้ดีเท่าตัวเราเองครับ)
At exactly the right time
ในเวลาที่เหมาะสมดีเยี่ยม
(ท่อนนี้ก็เหมือนเป็นสำนวนภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งก็จริงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ที่คำตอบดีๆ ที่ได้จากตัวเราเองมันจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเวลาที่เพอร์เฟ็คที่ดีของมัน หรือนัยยะมันหมายถึงสถานการณ์ต่างๆ ของเวลานั้นด้วยครับ)
But he means nothing to you
แต่เขาไม่มีความหมายอะไรกับเธอ
(นัยยะตรงนี้ สรุปเรื่องได้ว่า พอถึงจุดที่ปัญหาขี้ขลายไปแล้ว หรือทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อยแล้ว ด้วยความหยั่งรู้ของตนเองและคำตอบของตนเอง ซึ่งจริงๆก็คือตลอดช่วงชีวิตที่เติบโตมาได้ แต่แล้วตัวเองก็ยังไม่มองว่าตัวเองดีครับ ยังมองไม่เห็นความสำคัญของตนเองครับ ยังคิดว่าตัวเองไร้ค่า คิดว่าคำพูดตัวเองไม่มีประโยชน์ คิดว่าความคิดเห็นของตนไร้ค่า คิดว่าความชอบส่วนบุคคลของตนเองไม่ถูกต้องเหมาะสมเมื่อเทียบกับคนอื่นที่ดูเหมือนเป็นส่วนใหญ่)
And you don't know why
และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม
(ช่วงเนื้อเพลงมาถึงตรงนี้ ก็ยังไงไม่เข้าใจตัวเองครับว่าทำไมตัวเองไม่มีดีซะเลย ประมาณนั้นครับ)
====
You're waiting for someone
เธอกำลังรอใครสักคน
To put you together
ให้มาช่วยประกอบเธอให้เป็นผู้เป็นคน
You're waiting for someone to push you away
เธอกำลังรอใครสักคนให้มาผลักเธอให้พ้นๆไป (push away : Phrasal verb แปลว่า “ผลักหลบออกจากทางไปไป”)
(ตรงนี้น่าจะวนเนื้อความเพลงมาสู่ช่วงกำลังสับสน กำลังค้นหาตัวเองอยู่นะครับ ขณะเดียวกันนั้นก็เหมือนอยากจะใครสักคนมาช่วยเหลือ มาชี้ทาง มาบอกว่าทำอย่างไงต่อไปดี มาช่วยแก้ปัญหา รอให้คนอื่นมาช่วยต่อไปครับ)
There's always another wound to discover
มันจะมีรอยแผลให้เราได้ค้นพบอีกเสมอ
(บริบทบรรทัดนี้สื่อชัดเจนเลยว่า ทุกๆ ประสบการณ์ของชีวิตที่อาจดูเลวร้ายจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เหลืออยู่ก็เป็นรอยแผลในกายหรือในใจ แต่แล้วพอมันหายเจ็บคนเราก็อยากจะเติบโตและค้นพบตัวเองใหม่ ต้องการประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าก่อน และมันก็ต้องแลกมากับความเจ็บปวดบางอย่างเช่นกันครับ นี่คือการเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ เติบโตไม่รู้จบครับ)
There's always something more you wish he'd say
เธอก็อยากจะให้เขาพูดอะไรอีกเสมอ
(ตรงก็ก็น่าจะเริ่มเข้าใจได้แล้วว่า เพื่อความเติบโตเรื่อยๆ เราอาจนึกว่าเราต้องคอยถามคนอื่นอยู่ตลอด แต่จริงๆแล้ว พอนั่งสงบๆ เรารู้ได้ครับว่าเราอยากจะถามตัวเองมากกว่า ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ครับ)
[Chorus]
He's everything you want
เขาคือทุกสิ่งที่เธอต้องการ
He's everything you need
เขาคือทุกสิ่งที่เธอจำเป็นต้องมี
He's everything inside of you
เขาคือทุกสิ่งในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอหวังอยากจะเป็น
He says all the right things
เขาพูดเรื่องต่างๆได้ถูกต้องดีเยี่ยม
At exactly the right time
ในเวลาที่เหมาะสมดีเยี่ยม
But he means nothing to you
แต่เขาไม่มีความหมายอะไรกับเธอ
And you don't know why
และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม
====
But you'll just sit tight
แต่เธอยังนั่งอยู่เฉย
And watch it unwind
และมองดูมันคล่อยคลี่คลายออก
It's only what you're asking for
มันก็เป็นแค่สิ่งที่เธอร้องขอ เท่านั้น
(2-3 บรรทัดนี้ หมายถึงพอได้อยู่กับตัวเอง พอมานั่งครุ่นคิดดูถึงเหตุการณ์ในอดีตทั้งหลายที่่ผ่านพ้นมา ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะไม่มีทางออก แก้ไขไม่ได้ ดูเหมือนจะไม่รอด แต่ตอนนี้ก็รอดชีวิตมาได้ จึงค้นพบว่า ประสบการณ์ที่ได้เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ตัวเองได้ขอร้องอยากให้เกิดอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว เข้าใจได้ว่าไม่มีเรื่องพรหมลิขิตหรือดวงชะตามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเจตนาของตนต่างหากที่ก่อให้เกิดเรื่องราว ได้พบเจอ ได้จากลา เจตนาที่อยากจะสำรวจ อยากจะเติบโต อยากเปลี่ยนแปลงบางสิ่งลึกๆ ในใจครับ)
And you'll be just fine
และเธอจะไม่เป็นไร
With all of your time
กับเวลาของเธอทั้งหมด
It's only what you're waiting for
มันก็เป็นเรื่องว่าเธอกำลังรออยู่ทำไม
(พอรู้อย่างนี้ได้แล้ว 3 ท่อนเพลงก็สื่่อเลยสำหรับคนที่ไม่รู้จะทำอะไรดี หรือกำลังเบื่ออะไรบางอย่าง นั่นคือจุดที่ต้องการจะสำรวจสิ่งใหม่อีกแล้วครับ จิตใจอยากจะเติบโตในบางอย่าง ตอนนี้เข้าใจแล้วกำลังร้องขออะไรบางอย่างอยู่ ถ้ารู้ได้ว่าขออะไร หรือรู้ว่าจุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร หรือไม่ก็รู้ว่าจุดประสงค์ของช่วงเวลา ณ ตอนนี้คือต้องการสิ่งใด ก็ลงมือทำได้เลยครับ ไม่ต้องรอช้า ความสำเร็จบังเกิดแน่)
====
Out of the island
จากเกาะเมืองนั้น
Into the highway
เข้าไปสู่ถนนสายใหญ่
Past the places where you might have turned
ผ่านสถานที่ต่างๆที่เธออาจจะเลี้ยวเปลี่ยน
(ใช้อุปมาอุปมัยเล่าเรื่องอีกแล้วครับ ภาษาอังกฤษเราใช้อุปมาอุปมัยกันทั้งวันจริงๆ ใครได้ใช้ภาษาอังกฤษแท้ๆ จะพบบ่อยครับ นัยยะตรงนี้หมายถึงเริ่มเข้าสู่การตระหนักรู้ หรือเริ่มเกิดปัญญาแล้วครับ นัยยะว่า "ออกมาจากเกาะ" หมายถึง "การออกมาจากการครุ่นคิดคนเดียว" ออกมาสู่สถานที่รอบตัวทั้งใหม่และเก่าครับ พอผ่านที่เก่าๆ ถนนหนทางที่เคยเดินผ่านก็เริ่มรู้สึกบางอย่าง)
You never did notice
เธอไม่เคยได้สังเกตเห็นหรอก
But you still hide away
แต่เธอยังหลบตัวอยู่
The anger of angels who won't return
ความโทสะของเทวดาผู้ที่จะไม่กลับมาอีก
(3 ท่อนเพลงนี้สื่อความหมายช่วงปัญญาที่เกิดขึ้นนะครับ คือเมื่อเดินผ่านสถานที่เก่าๆ เหมือนมองเห็นอะไรบางอย่างที่เมื่อก่อนมองไม่เห็น หรือมองสิ่งเดิมแต่คิดเปลี่ยนแปลงไปครับ คือเริ่มคิดได้ หรือถ้าอธิบายแนวที่เพลงแต่งมา ก็คือพอเติบโตสู่ช่วงวัยหนึ่งแล้วกลับมาดูสถานที่ในอดีต ก็รู้สึกแปลกก ไม่รู้สึกเหมือนอดีตครับ รู้สึกเปลี่ยนไป ตรงประโยค but you still hide away คงหมายถึง ความรู้จักตัวตนมากขึ้น ค้นพบตัวเองมากขึ้น ตัวเองได้เปลีย่นแปลงไปแล้ว ฉลาดขึ้นว่างั้นอะครับ มองเห็นได้ว่าเรื่องในอดีตเป็นเรื่องของตัวตนในอดีต ไม่เกี่ยวกับปัจจุบัน ส่วนท่อน the anger of angels who won't return นอกจากได้พ้องเสียงกับท่อนเพลงก่อนหน้าแล้ว ยังแปลได้ควาหมายความว่า มองเห็นถนนหนทางเก่าๆ แล้วไม่รู้สึกโกรธเคืองอีกแล้วครับ)
[chorus]
He's everything you want
เขาคือทุกสิ่งที่เธอต้องการ
He's everything you need
เขาคือทุกสิ่งที่เธอจำเป็นต้องมี
He's everything inside of you
เขาคือทุกสิ่งในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอหวังอยากจะเป็น
He says all the right things
เขาพูดเรื่องต่างๆได้ถูกต้องดีเยี่ยม
At exactly the right time
ในเวลาที่เหมาะสมดีเยี่ยม
But he means nothing to you
แต่เขาไม่มีความหมายอะไรกับเธอ
And you don't know why
และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม
I am everything you want
ฉันนี่แหละเป็นทุกสิ่งที่เธอต้องการ
I am everything you need
ฉันนี่แหละเป็นทุกสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องมี
I am everything inside of you
ฉันนี่แหละเป็นทุกสิ่งข้างในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอปราถนาอยากจะเป็น
I say all the right things
ฉันพูดเรื่องราวต่างๆได้ถูกต้องดี
At exactly the right time
ในเวลาที่ถูกต้องเหมาะสม
But I mean nothing to you and I don't know why
แต่ว่าฉันไม่มีความหมายอะไรกับตัวเธอ และฉันไม่รู้ว่าทำไม
And I don't know why
และฉันไม่รู้ว่าทำไม
Why
ทำไม
I don't know
ฉันไม่รู้
(ท่อน chorus ท้ายนี้ ตอนแรกประธานยังเป็น He อยู่ แต่ครั้งที่สองประธานเป็น I สังเกตเห็นใช่ไหมครับ? นัยยะก็คือพระเอกในเรื่องนี้ซึ่งก็หมายถึงคนเราเกือบทุกคนที่ค้นหาตัวเอง มาถึงจุดที่พบแล้ว พบว่าตัวเองอยากเป็นตัวเองมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องอยากเป็นเหมือนคนอื่นครับ ไม่อยากไปก๊อปปี้ชีวิตคนอื่น ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนอื่น เรียนคณะดังเหมือนคนอื่น อะไรทำนองเนี๊ยอะคับ เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เป็นของตัวเอง ไม่เหมือนใครครับ และเนื่องจากเนื้อเพลงที่กล่าวถึงชีวิตโดยรวมมาตลอดจนถึงตอนจบนี้ ทำให้ความหมายมันสะท้อนไปสู่เรื่องราวก่อนหน้าถึงความเป็นตัวของตัวเองโดยแท้นี้ด้วยครับ)
www.bristolhouse.net
Call 085-164-6105
Bristol House Miracle of Knowledge
"Everything You Want" - Vertical Horizon
https://youtu.be/1MjQXcExJ48
Somewhere there's speaking
มีการพูดอยู่ที่ใดสักแห่ง
(ผู้แต่งเพลงน่าจะพยายามสื่อถึงความรู้ต่างๆ ที่เคยสอนเคยถูกกล่าวถึงบนโลกนี้ หมายถึงปรัญชาและปัญญาของบรรพบุรุษเก่าที่ให้คนปัจจุบันมีความรู้ กล่าวง่ายๆ เหมือนว่า "จากที่คนเก่าก่อนเขาสอนไว้")
It's already coming in
มันกำลังเข้ามาละ
(บรบทนี้สื่อให้คาดเดาได้ว่า ชีวิตของเราโตเติบขึ้น ก็เริ่มมีประสบการณ์ต่างๆ เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือการเจริญเติบโตและเรียนรู้ของคนเราที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่มากก็น้อย)
Oh and it's rising at the back of your mind
โอ้ และมันก็เกิดออกมาจากความทรงจำของเรานี่เอง
(สำนวน the back of one's mind ภาษาอังกฤษเราหมายถึง "ความทรงจำระยะยาว" หรือบางทีอาจอ้างถึง "จิตใตัสำนึกที่จำเรื่องราวทุกอย่างได้ตลอดชีวิต" ครับ ประโยคเนื้อเพลงนี้จึงมีนัยยะว่า "อาจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ หรือการอยู่ในสภาะสงบเงียบแล้วจึงทำให้ได้ยินเสียงจากจิตใต้สำนึกตัวเองครับ เพื่อให้แก้ไขปัญหา หรือเดินหน้าต่อไปนั้นควรทำอย่างไร")
You never could get it
เราจะไม่ได้เข้าใจมันมาก่อน
Unless you were fed it
ยกเว้นเสียแต่ว่าเราถูกป้อนมาก่อน
(นัยยะของ 2 ประโยคเนื้อเพลงนี้ หมายถึงการเปลี่ย่นแปลงเรียนรู้ใหม่ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยครับ หากว่าไม่มีเรื่องขึ้นมา คล้ายๆ กับสำนวนภาษาอังกฤษที่ No pain, no gain อะครับ คือ "ถ้าไม่เจ็บปวดซะบ้าง ก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่เลย" หรือประมาณว่า "นั่งเฉยๆ ถ้างานไม่เข้า ก็จะจะเอื่อยเฉื่ยไม่ทำอะไร" อะครับ แต่เนื้อหาเพลงเป็นเรื่องของชีวิตโดยรวมนะครับ ความหมายซ้อนเร้นนี้เข้าใจได้ว่า "คนเราส่วนใหญ่อาจนั่งๆ นอนๆ รอให้เหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาสู่ชีวิตเรา เพื่อที่เราจะได้เติบโต จะได้เรียนรู้ครับ เพราะไม่ได้พยายามออกไปหาโอกาสเหล่านั้นก่อน" ครับ)
Now you're here and you don't know why
ตอนนี้เราอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร
(นัยยะประโยคนี้หมายถึง "พอถึงจุดเปลี่ยนช่วงวัยของชีวิต บางคนก็ตั้งคำถามตัวเองว่า "ฉันเกิดมาเพื่ออะไร" อะครับ)
But under skinned knees and the skid marks
แต่รอยแผลที่หัวเข่า ที่หกล้มลื่นมาบ้าง
(ประโยคที่แปลไว้ก่อนแล้วข้างบน จริงๆได้พยายามสื่อถึงนัยยะไว้สั้นๆ นะครับ ถ้าจะอธิบายยาวหน่อย มันมีนัยยะว่า "คนเรามีหัวเข่าบางๆ ที่ก็ต้องผ่านการหกล้มกันมาทุกคน ก็คือต้องเจ็บตัวกันมาก่อนทุกคน พอเจ็บตัวแล้วก็จะสร้างหน้ากากของตัวเองขึ้นมาครับ หน้ากากนั่นคือความมีอีโก้ของตัวเองที่ดูเงางาม สวมใส่ไว้เพื่อไม่ให้ใครเขารู้ได้ว่าเราเคยเจ็บตัวเสียใจอะไรมาครับ หน้ากากเพื่อป้องกันความผิด ความอับอาย")
Past the places where you used to learn
ผ่านมาจากสถานที่ต่างๆ ที่เราเคยเรียนรู้จากมัน
(ประโยคนี้คงไม่ยากอะไร คงสื่อถึงการได้กลับมาเห็นสถานที่เก่าๆ ในอดีต หรือหมายถึงช่วงเวลาวัยเด็กๆที่กำลังเรียนรู้)
You howl and listen
เธอร้องครวญครางและก็แล้วก็ฟัง (Howl = เห่าหอน)
Listen and wait for the
ฟังและรอกับ
Echoes of angels who won't return
เสียงสะท้อนของเทวดาผู้ซึ่งไม่หวนกลับมาอีกแล้ว
(ทั้ง 3 ท่อนเพลงนี้ สามารถมองได้ว่าเป็นการใช้อุปมาอุปมัยอธิบายเรือ่ง นั่นคือ "การเห่าหอน และคอยฟัง" หมายถึงการใช้สัญชาติญานเดิมที่เคยเรียนรู้มาก่อน ราวกับสุนัขที่ต้องใช้การเห่าหอนเพื่อเรียกฉันท์ใด คนเราที่เป็นเด็กก็มักจะคอยสอบถามผู้เป็นผู้ใหญ่กว่าถึงคำตอบฉัณท์นั้น หรือถ้าเป็นเด็กอ่อนก็จะร้องไห้เพือแสดงความต้องการบางอย่างครับ คือพูดง่ายๆ ก็คือ "พฤติกรรมเรียนรู้และเลียนแบบ" ครับ แต่ในบริบทเพลงได้กล่าวต่อว่า "Echoes of angles who wont' return เสียงสะท้อนของเทวดาที่ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว" นี่หมายถึงพอคนเราโตขึ้น โตขึ้น สถานการณ์ก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ต่อไปก็ไม่มีใครเขาจะคอยมาสอนเราได้ตลอดครับ หรือเมื่อเราถึงจุดๆ หนึ่งที่เราถามอะไรคนอื่น แต่เขาเองก็ไม่มีคำตอบครับ ถ้ามองลึกๆ เข้าไป ก็คือจุดที่เราต้องเป็นผู้ปกครองตัวเองครับ)
[Chorus]
He's everything you want
เขาคือทุกสิ่งที่เธอต้องการ
He's everything you need
เขาคือทุกสิ่งที่เธอจำเป็นต้องมี
(บรบทท่อนนี้ กล่าวคือเมื่อพระเอกในเรื่องนี้ต้องการคำตอบของชีวิต กำลังค้นหาตัวเอง ถามอะไรใครไปก็ไม่มีคำตอบที่ดีดั่งใจได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็มองเห็นผู้คนอื่น เป็นขั้นตอนการศึกษาผู้อื่น แล้วมองเห็นข้อดีในตัวผู้อื่น เห็นว่าผู้อื่นเป็นตัวอย่างที่ดี อยากจะได้ อยากจะเป็นอย่างผู้อื่น)
He's everything inside of you
เขาคือทุกสิ่งในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอหวังอยากจะเป็น
(ตรงนี้ ก็หมายถึง พอเขามองเห็นแบบอย่างภายนอกของผู้อื่นว่าดูดีแล้ว พระเอกก็รู้สึกว่าอยากจะเป็นอย่างคนอื่น และในท่อน "He's everything inside of you.." นั่นหมายถึง เขาเริ่มรู้อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พอคิดไปก็เหมือนรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวของตัวฉัน คือเกิดความรู้สึกไม่เชื่อมั่นว่าตัวเองจะเปลียนแปลงเป็นผู้นอืนได้ ครับ ตอนนี้ก็ใจอยากเปลี่ยน แต่ทำไม่ได้ อะครับ)
He says all the right things
เขาพูดเรื่องต่างๆได้ถูกต้องดีเยี่ยม
(บรบทตรงนี้ เริ่มเป็นการระลึกรู้ได้ว่า พอเราได้ถามใจเราจริงๆ ว่าต้องการอะไร ตัวเราก็จะบอกส่ิงที่เหมาะสมกับเราที่สุดครับ คือดีกว่าไปถามผู้อื่น เพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าไม่มีคนอื่นใดจะมารู้ มาเข้าใจความต้องการของตนเองได้ดีเท่าตัวเราเองครับ)
At exactly the right time
ในเวลาที่เหมาะสมดีเยี่ยม
(ท่อนนี้ก็เหมือนเป็นสำนวนภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งก็จริงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ที่คำตอบดีๆ ที่ได้จากตัวเราเองมันจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเวลาที่เพอร์เฟ็คที่ดีของมัน หรือนัยยะมันหมายถึงสถานการณ์ต่างๆ ของเวลานั้นด้วยครับ)
But he means nothing to you
แต่เขาไม่มีความหมายอะไรกับเธอ
(นัยยะตรงนี้ สรุปเรื่องได้ว่า พอถึงจุดที่ปัญหาขี้ขลายไปแล้ว หรือทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อยแล้ว ด้วยความหยั่งรู้ของตนเองและคำตอบของตนเอง ซึ่งจริงๆก็คือตลอดช่วงชีวิตที่เติบโตมาได้ แต่แล้วตัวเองก็ยังไม่มองว่าตัวเองดีครับ ยังมองไม่เห็นความสำคัญของตนเองครับ ยังคิดว่าตัวเองไร้ค่า คิดว่าคำพูดตัวเองไม่มีประโยชน์ คิดว่าความคิดเห็นของตนไร้ค่า คิดว่าความชอบส่วนบุคคลของตนเองไม่ถูกต้องเหมาะสมเมื่อเทียบกับคนอื่นที่ดูเหมือนเป็นส่วนใหญ่)
And you don't know why
และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม
(ช่วงเนื้อเพลงมาถึงตรงนี้ ก็ยังไงไม่เข้าใจตัวเองครับว่าทำไมตัวเองไม่มีดีซะเลย ประมาณนั้นครับ)
====
You're waiting for someone
เธอกำลังรอใครสักคน
To put you together
ให้มาช่วยประกอบเธอให้เป็นผู้เป็นคน
You're waiting for someone to push you away
เธอกำลังรอใครสักคนให้มาผลักเธอให้พ้นๆไป (push away : Phrasal verb แปลว่า “ผลักหลบออกจากทางไปไป”)
(ตรงนี้น่าจะวนเนื้อความเพลงมาสู่ช่วงกำลังสับสน กำลังค้นหาตัวเองอยู่นะครับ ขณะเดียวกันนั้นก็เหมือนอยากจะใครสักคนมาช่วยเหลือ มาชี้ทาง มาบอกว่าทำอย่างไงต่อไปดี มาช่วยแก้ปัญหา รอให้คนอื่นมาช่วยต่อไปครับ)
There's always another wound to discover
มันจะมีรอยแผลให้เราได้ค้นพบอีกเสมอ
(บริบทบรรทัดนี้สื่อชัดเจนเลยว่า ทุกๆ ประสบการณ์ของชีวิตที่อาจดูเลวร้ายจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เหลืออยู่ก็เป็นรอยแผลในกายหรือในใจ แต่แล้วพอมันหายเจ็บคนเราก็อยากจะเติบโตและค้นพบตัวเองใหม่ ต้องการประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าก่อน และมันก็ต้องแลกมากับความเจ็บปวดบางอย่างเช่นกันครับ นี่คือการเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ เติบโตไม่รู้จบครับ)
There's always something more you wish he'd say
เธอก็อยากจะให้เขาพูดอะไรอีกเสมอ
(ตรงก็ก็น่าจะเริ่มเข้าใจได้แล้วว่า เพื่อความเติบโตเรื่อยๆ เราอาจนึกว่าเราต้องคอยถามคนอื่นอยู่ตลอด แต่จริงๆแล้ว พอนั่งสงบๆ เรารู้ได้ครับว่าเราอยากจะถามตัวเองมากกว่า ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ครับ)
[Chorus]
He's everything you want
เขาคือทุกสิ่งที่เธอต้องการ
He's everything you need
เขาคือทุกสิ่งที่เธอจำเป็นต้องมี
He's everything inside of you
เขาคือทุกสิ่งในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอหวังอยากจะเป็น
He says all the right things
เขาพูดเรื่องต่างๆได้ถูกต้องดีเยี่ยม
At exactly the right time
ในเวลาที่เหมาะสมดีเยี่ยม
But he means nothing to you
แต่เขาไม่มีความหมายอะไรกับเธอ
And you don't know why
และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม
====
But you'll just sit tight
แต่เธอยังนั่งอยู่เฉย
And watch it unwind
และมองดูมันคล่อยคลี่คลายออก
It's only what you're asking for
มันก็เป็นแค่สิ่งที่เธอร้องขอ เท่านั้น
(2-3 บรรทัดนี้ หมายถึงพอได้อยู่กับตัวเอง พอมานั่งครุ่นคิดดูถึงเหตุการณ์ในอดีตทั้งหลายที่่ผ่านพ้นมา ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะไม่มีทางออก แก้ไขไม่ได้ ดูเหมือนจะไม่รอด แต่ตอนนี้ก็รอดชีวิตมาได้ จึงค้นพบว่า ประสบการณ์ที่ได้เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ตัวเองได้ขอร้องอยากให้เกิดอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว เข้าใจได้ว่าไม่มีเรื่องพรหมลิขิตหรือดวงชะตามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเจตนาของตนต่างหากที่ก่อให้เกิดเรื่องราว ได้พบเจอ ได้จากลา เจตนาที่อยากจะสำรวจ อยากจะเติบโต อยากเปลี่ยนแปลงบางสิ่งลึกๆ ในใจครับ)
And you'll be just fine
และเธอจะไม่เป็นไร
With all of your time
กับเวลาของเธอทั้งหมด
It's only what you're waiting for
มันก็เป็นเรื่องว่าเธอกำลังรออยู่ทำไม
(พอรู้อย่างนี้ได้แล้ว 3 ท่อนเพลงก็สื่่อเลยสำหรับคนที่ไม่รู้จะทำอะไรดี หรือกำลังเบื่ออะไรบางอย่าง นั่นคือจุดที่ต้องการจะสำรวจสิ่งใหม่อีกแล้วครับ จิตใจอยากจะเติบโตในบางอย่าง ตอนนี้เข้าใจแล้วกำลังร้องขออะไรบางอย่างอยู่ ถ้ารู้ได้ว่าขออะไร หรือรู้ว่าจุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร หรือไม่ก็รู้ว่าจุดประสงค์ของช่วงเวลา ณ ตอนนี้คือต้องการสิ่งใด ก็ลงมือทำได้เลยครับ ไม่ต้องรอช้า ความสำเร็จบังเกิดแน่)
====
Out of the island
จากเกาะเมืองนั้น
Into the highway
เข้าไปสู่ถนนสายใหญ่
Past the places where you might have turned
ผ่านสถานที่ต่างๆที่เธออาจจะเลี้ยวเปลี่ยน
(ใช้อุปมาอุปมัยเล่าเรื่องอีกแล้วครับ ภาษาอังกฤษเราใช้อุปมาอุปมัยกันทั้งวันจริงๆ ใครได้ใช้ภาษาอังกฤษแท้ๆ จะพบบ่อยครับ นัยยะตรงนี้หมายถึงเริ่มเข้าสู่การตระหนักรู้ หรือเริ่มเกิดปัญญาแล้วครับ นัยยะว่า "ออกมาจากเกาะ" หมายถึง "การออกมาจากการครุ่นคิดคนเดียว" ออกมาสู่สถานที่รอบตัวทั้งใหม่และเก่าครับ พอผ่านที่เก่าๆ ถนนหนทางที่เคยเดินผ่านก็เริ่มรู้สึกบางอย่าง)
You never did notice
เธอไม่เคยได้สังเกตเห็นหรอก
But you still hide away
แต่เธอยังหลบตัวอยู่
The anger of angels who won't return
ความโทสะของเทวดาผู้ที่จะไม่กลับมาอีก
(3 ท่อนเพลงนี้สื่อความหมายช่วงปัญญาที่เกิดขึ้นนะครับ คือเมื่อเดินผ่านสถานที่เก่าๆ เหมือนมองเห็นอะไรบางอย่างที่เมื่อก่อนมองไม่เห็น หรือมองสิ่งเดิมแต่คิดเปลี่ยนแปลงไปครับ คือเริ่มคิดได้ หรือถ้าอธิบายแนวที่เพลงแต่งมา ก็คือพอเติบโตสู่ช่วงวัยหนึ่งแล้วกลับมาดูสถานที่ในอดีต ก็รู้สึกแปลกก ไม่รู้สึกเหมือนอดีตครับ รู้สึกเปลี่ยนไป ตรงประโยค but you still hide away คงหมายถึง ความรู้จักตัวตนมากขึ้น ค้นพบตัวเองมากขึ้น ตัวเองได้เปลีย่นแปลงไปแล้ว ฉลาดขึ้นว่างั้นอะครับ มองเห็นได้ว่าเรื่องในอดีตเป็นเรื่องของตัวตนในอดีต ไม่เกี่ยวกับปัจจุบัน ส่วนท่อน the anger of angels who won't return นอกจากได้พ้องเสียงกับท่อนเพลงก่อนหน้าแล้ว ยังแปลได้ควาหมายความว่า มองเห็นถนนหนทางเก่าๆ แล้วไม่รู้สึกโกรธเคืองอีกแล้วครับ)
[chorus]
He's everything you want
เขาคือทุกสิ่งที่เธอต้องการ
He's everything you need
เขาคือทุกสิ่งที่เธอจำเป็นต้องมี
He's everything inside of you
เขาคือทุกสิ่งในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอหวังอยากจะเป็น
He says all the right things
เขาพูดเรื่องต่างๆได้ถูกต้องดีเยี่ยม
At exactly the right time
ในเวลาที่เหมาะสมดีเยี่ยม
But he means nothing to you
แต่เขาไม่มีความหมายอะไรกับเธอ
And you don't know why
และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม
I am everything you want
ฉันนี่แหละเป็นทุกสิ่งที่เธอต้องการ
I am everything you need
ฉันนี่แหละเป็นทุกสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องมี
I am everything inside of you
ฉันนี่แหละเป็นทุกสิ่งข้างในตัวเธอ
That you wish you could be
ที่เธอปราถนาอยากจะเป็น
I say all the right things
ฉันพูดเรื่องราวต่างๆได้ถูกต้องดี
At exactly the right time
ในเวลาที่ถูกต้องเหมาะสม
But I mean nothing to you and I don't know why
แต่ว่าฉันไม่มีความหมายอะไรกับตัวเธอ และฉันไม่รู้ว่าทำไม
And I don't know why
และฉันไม่รู้ว่าทำไม
Why
ทำไม
I don't know
ฉันไม่รู้
(ท่อน chorus ท้ายนี้ ตอนแรกประธานยังเป็น He อยู่ แต่ครั้งที่สองประธานเป็น I สังเกตเห็นใช่ไหมครับ? นัยยะก็คือพระเอกในเรื่องนี้ซึ่งก็หมายถึงคนเราเกือบทุกคนที่ค้นหาตัวเอง มาถึงจุดที่พบแล้ว พบว่าตัวเองอยากเป็นตัวเองมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องอยากเป็นเหมือนคนอื่นครับ ไม่อยากไปก๊อปปี้ชีวิตคนอื่น ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนอื่น เรียนคณะดังเหมือนคนอื่น อะไรทำนองเนี๊ยอะคับ เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เป็นของตัวเอง ไม่เหมือนใครครับ และเนื่องจากเนื้อเพลงที่กล่าวถึงชีวิตโดยรวมมาตลอดจนถึงตอนจบนี้ ทำให้ความหมายมันสะท้อนไปสู่เรื่องราวก่อนหน้าถึงความเป็นตัวของตัวเองโดยแท้นี้ด้วยครับ)
No comments:
Post a Comment